ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

Charles II of England

พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Charles II of England; 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1630 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685) พระมหากษัตริย์อังกฤษ พระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ และพระมหากษัตริย์ไอร์แลนด์ ในราชวงศ์สจวต [ ระหว่างปี ค.ศ. 1660 ถึงปี ค.ศ. 1685

พระเจ้าชาลส์ที่ 2 พระราชสมภพเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1630 ที่พระราชวังเซนต์เจมส์ในกรุงลอนดอน เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษและพระนางเฮนเรียตตา มาเรีย ได้อภิเษกสมรสกับพระนางแคเธอริน และครองสกอตแลนด์ระหว่างวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 ถึงวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1651 และ อังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 ที่พระราชวังไวท์ฮอลในกรุงลอนดอน

พระเจ้าชาลส์ที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายหลังจากพระราชบิดาพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ถูกประหารชีวิตที่พระราชวังไวต์ฮอลเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 แต่รัฐสภาอังกฤษมิได้ประกาศแต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์และผ่านบัญญัติว่าเป็นการดำรงตำแหน่งของพระองค์เป็นการผิดกฎหมาย จึงเกิดช่วงว่างระหว่างรัชกาลในอังกฤษ แต่ทางรัฐสภาสกอตแลนด์ประกาศให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ของชาวสกอตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 ที่เอดินบะระ และรับพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1651 หลังจากที่พ่ายแพ้ยุทธการวูสเตอร์เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1651 พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ก็เสด็จหนีไปยุโรปภาคพื้นทวีปและไปประทับลี้ภัยเป็นเวลา 9 ปีในประเทศฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ของสเปน

หลังจากที่รัฐบาลสาธารณรัฐภายใต้การนำของริชาร์ด ครอมเวลล์ล่มในปี ค.ศ. 1659 นายพลจอร์จ มองค์ก็อัญเชิญชาลส์ให้กลับมาเป็นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษในสมัยที่เรียกกันว่า “การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ” พระเจ้าชาลส์ที่ 2 เสด็จกลับถึงอังกฤษเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 และเสด็จเข้าลอนดอนในวันประสูติครบ 30 พรรษาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 และทรงได้รับการราชาภิเศกเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษและ ไอร์แลนด์เมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1660

รัฐสภาภายใต้การนำของพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ออกพระราชบัญญัติต่อต้านพิวริตันที่รู้จักกันในชื่อ “ประมวลกฎหมายแคลเรนดัน” (Clarendon code) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหนุนสถานะของคริสตจักรแห่งอังกฤษ แม้ว่าในทางส่วนพระองค์แล้วพระเจ้าชาลส์ที่ 2 จะทรงสนับสนุนนโยบายความมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาก็ตาม ส่วนปัญหาใหญ่ในด้านการต่างประเทศในต้นรัชสมัยก็คือการสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1670 พระเจ้าชาลส์ทรงไปทำสัญญาลับกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสที่ระบุว่าฝรั่งเศสจะช่วยอังกฤษในสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สาม และจะถวายเงินบำนาญแก่พระองค์โดยมีข้อแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าชาลส์ต้องสัญญาว่าจะเปลื่ยนจากการนับถือนิกายแองกลิคันไปเป็นการนับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่พระเจ้าชาลส์มิได้ทรงระบุเวลาที่แน่นอนในเรื่องการเปลี่ยนนิกาย แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงพยายามเพิ่มสิทธิและเสรีภาพให้แก่ผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ต่าง ๆ มากขึ้นโดยออกพระราชปฏิญญาพระคุณการุญในปี ค.ศ. 1672 แต่รัฐสภาบังคับให้ทรงถอนในปี ค.ศ. 1679

ในปี ค.ศ. 1679 ไททัส โอตส์สร้างข่าวลือเรื่อง “การลอบวางแผนโพพิช” ที่เป็นผลให้เกิดวิกฤตกาลการกีดกัดต่อมา เมื่อเป็นที่ทราบกันว่าดยุกแห่งยอร์กพระอนุชาของพระเจ้าชาลส์ที่ 2 และรัชทายาทผู้ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 2เปลี่ยนไปนับถือโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้บ้านเมืองแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายวิกสนับสนุนการยกเว้นไม่ให้ดยุกแห่งยอร์กขึ้นครองราชย์และฝ่ายทอรีต่อต้านการยกเว้น พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ทรงเข้าข้างฝ่ายหลัง หลังจากที่ผู้ก่อการโปรเตสแตนต์วางแผน “การลอบวางแผนไรย์เฮาส์” ที่จะปลงพระองค์เองและดยุกแห่งยอร์กในปี ค.ศ. 1683 ที่ทำให้ผู้นำพรรควิกหลายคนถูกประหารชีวิตหรือถูกเนรเทศ พระเจ้าชาลส์ที่ 2 จึงทรงยุบสภาในปี ค.ศ. 1679 และทรงราชย์โดยไม่มีรัฐสภาจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 ก่อนจะเสด็จสวรรคตพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ก็ทรงเปลี่ยนไปนับถือโรมันคาทอลิกบนพระแท่นที่ประชวร

พระเจ้าชาลส์ไม่มีพระราชโอรสธิดากับพระนางแคเธอรินแห่งบราแกนซา เพราะพระนางทรงเป็นหมัน แต่ทรงยอมรับว่ามีพระราชโอรสธิดานอกสมรส 12 องค์กับพระสนมหลายคน พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ทรงเป็นที่รู้จักกันในพระนาม “ราชาเจ้าสำราญ” (Merrie Monarch) ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตในราชสำนักของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสำราญซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่ถูกเก็บกดมาเป็นเวลานานภายใต้การปกครองของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์และกลุ่มพิวริตัน

พระเจ้าชาลส์ สจวตพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสกอตแลนด์และไอร์แลนด์และพระนางเฮนเรียตตา มาเรีย เสด็จพระราชสมภพที่พระราชวังเซนต์เจมส์เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1630 และทรงรับบับติศมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนโดยบิชอปวิลเลียม ลอด จากแองกลิคันผู้ขณะดำรงตำแหน่งเป็นบิชอปแห่งลอนดอน และทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยแมรี แซกวิลล์ เคาน์เตสแห่งดอร์เซตผู้เป็นโปรเตสแตนต์ แต่ทรงมีพ่อแม่ทูลหัวเป็นโรมันคาทอลิกที่เป็นพระประยูรญาติทางพระมารดา ที่รวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสและพระนางมารี เด เมดีชีพระราชมารดาของพระเจ้าหลุยส์ พระองค์ทรงได้รับตำแหน่งดยุกแห่งคอร์นวอลล์และดยุกแห่งรอธเซย์ (Duke of Rothesay) เมื่อประสูติในฐานะที่เป็นพระราชโอรสองค์โตของพระมหากษัตริย์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 8 พรรษาก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์แต่มิได้มีพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1640 เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระราชบิดาทรงต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายรัฐสภาและพิวริตันในสงครามกลางเมืองอังกฤษ เจ้าชายชาลส์ทรงติดตามพระราชบิดาในยุทธการที่เอจฮิลล์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 14 พรรษาก็ทรงเข้าร่วมในการรณรงค์ใน ค.ศ. 1645 และทรงได้รับแต่งตั้งแต่ในนามให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารแห่งเวสต์คันทรี ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1646 พระราชบิดาก็พ่ายแพ้สงคราม เจ้าชายชาลส์จึงเสด็จหนีจากอังกฤษเพื่อความปลอดภัย โดยเสด็จไปหมู่เกาะซิลลีย์ก่อนที่จะเสด็จต่อไปเจอร์ซีย์ และในที่สุดก็ไปถึงฝรั่งเศสเพื่อไปสมทบกับพระราชมารดาประทับลี้ภัยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา

ในปี ค.ศ. 1648 ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษครั้งที่ 2 เจ้าชายชาลส์ก็ทรงย้ายไปเฮกในเนเธอร์แลนด์ไปประทับกับเจ้าหญิงแมรีพระเชษฐภคินีและวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ พระสวามีเพราะทรงเชื่อว่าทั้งสองพระองค์อาจจะทรงสนับสนุนฝ่ายนิยมกษัตริย์มากกว่าพระญาติทางฝรั่งเศส เมื่อทรงพยายามยกกองทัพไปช่วยพระราชบิดาแต่กองทัพภายใต้การนำของพระองค์ไปถึงสกอตแลนด์ไม่ทันที่จะสมทบกับกองกำลัง “Engagers” ที่สนับสนุนพระราชบิดาที่นำโดยเจมส์ แฮมิลตัน ดยุกที่ 1 แห่งแฮมิลตัน ก่อนที่จะพ่ายแพ้ในยุทธการที่เพรสตันในปี ค.ศ. 1648 ระหว่างที่ประทับอยู่ที่กรุงเฮกเจ้าชายชาลส์ทรงมีความสัมพันธ์กับลูซี วอลเตอร์อยู่พักหนึ่ง ผู้ต่อมาถึงกับอ้างว่าได้เจ้าชายชาลส์ทรงแต่งงานอย่างลับ ๆ ด้วย ชาลส์มีพระโอรสกับลูซี วอลเตอร์คนหนึ่งคือเจมส์ ครอฟต์ส (ต่อมาเป็นเจมส์ สกอตต์ ดยุกที่ 1แห่งมอนมัธ ผู้ต่อมากลายมามีบทบาทสำคัญในทางการเมืองของอังกฤษ)

พระเจ้าชาลส์ที่ 1 พระราชบิดาของพระองค์ ทรงถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1647 ทรงหลบหนีจากการคุมขังได้แต่ก็มาทรงถูกจับอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1648 แม้ว่าเจ้าชายชาลส์จะทรงพยายามหาทางช่วยทางการทูตในการปลดปล่อยพระองค์แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ก็ทรงถูกปลงพระชนม์ในข้อหากบฏต่อแผ่นดินเมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 หลังจากนั้นอังกฤษก็เข้าสู่สมัยสาธารณรัฐ

ทันทีที่พระเจ้าชาลส์ที่ 1 เสด็จสวรรคตรัฐสภาแห่งสกอตแลนด์ก็ประกาศแต่งตั้งให้เจ้าชาย ชาลส์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ต่อจากพระราชบิดาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 แต่ทรงต้องยอมรับข้อแม้บางประการ พระเจ้าชาลส์ทรงจำยอมตามเงื่อนไขของรัฐสภาแห่งสกอตแลนด์ใน สนธิสัญญาเบรดาในปี ค.ศ. 1650 ที่สนับสนุน “Solemn League and Covenant” ในการใช้การจัดระเบียบองค์การแบบเพรสไบทีเรียนทั่วดินแดนอังกฤษ เมื่อเสด็จมาถึงสกอตแลนด์ในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1650 พระเจ้าชาลส์ก็ทรงตกลงตามข้อสัญญาอย่างเป็นทางการ แม้ว่าการละทิ้งการจัดระเบียบองคืการแบบอีพิสโคปัล จะทำให้ทรงเป็นที่นิยมในสกอตแลนด์แต่นโยบายดังกล่าวทำให้ความนิยมพระองค์ในอังกฤษลดถอยลง แต่ต่อมาพระองค์เองก็ทรงไม่พอพระทัยกับ “ความหน้าไหว้หลังหลอก” ของ กลุ่มคัฟเวอร์นันต์ (Covenanters)

เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1650 กลุ่มคัฟเวอร์นันต์ก็พ่ายแพ้ในยุทธการที่ดันบาร์ต่อกองทหารที่มึกำลังน้อยกว่าที่นำโดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ฝ่ายสก็อตถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย -- ฝ่าย “Engagers” และฝ่ายเพรสไบทีเรียน “คัฟเวอร์นันเตอร์” ซึ่งบางครั้งก็สู้กันเอง -- สมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงไม่พอพระทัยในกลุ่มคัฟเวอร์นันต์หนักขึ้นจนต้องทรงพยายามทรงม้าหลบหนีไปสมทบกับฝ่าย “Engagers” ในเดือนตุลาคมในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “การเริ่มต้น” แต่เพียงสองวันต่อมากลุ่มเพรสไบทีเรียนก็ตามมาไปนำพระองค์กลับมา แต่จะอย่างไรก็ตามสกอตแลนด์ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญในโอกาสที่จะกู้ราชบัลลังก์อังกฤษคืน พระเจ้าชาลส์ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ที่สโคนเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1651 เมื่อทรงเห็นว่ากองทัพของครอมเวลล์เป็นปัญหาต่อความมั่นคงของสกอตแลนด์พระเจ้าชาลส์ก็ทรงตัดสินพระทัยยกกองทัพไปรุกรานอังกฤษ แม้ว่าชาวสกอตและฝ่ายนิยมกษัตริย์หลายคนจะไม่ยอมร่วมมือ พระองค์ทรงนำทัพลงอังกฤษแต่ก็ไปทรงพ่ายแพ้ที่ยุทธการวูสเตอร์เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1651 หลังจากนั้นก็ทรงต้องหลบหนีและครั้งหนึ่งทรงไปซ่อนพระองค์อยูในโพรงต้นโอ้คที่คฤหาสน์บอสโคเบล (Boscobel House) พระเจ้าชาลส์ทรงหลบหนีอยู่หกอาทิตย์ก่อนที่ออกจากอังกฤษได้ และทรงไปขึ้นฝั่งนอร์ม็องดีในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม แม้ว่าจะมีค่าพระเศียรถึง ?1,000 และการปลอมพระองค์หลบหนีก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะทรงสูงกว่า 6 ฟุต (185 ซม.) แต่ก็ไม่มีผู้ใดทรยศส่งตัวพระองค์ให้ฝ่ายรัฐสภา

ทางด้านอังกฤษการแต่งตั้งครอมเวลล์ให้เป็น“เจ้าผู้อารักขา” ของเกาะอังกฤษก็เท่ากับเป็นการทำให้อังกฤษตกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้เผด็จการทหาร เมื่อพระเจ้าชาลส์ไม่ทรงมีรัฐบาลสนับสนุนพระองค์ก็ไม่ทรงมีทางที่หาทุนพอที่จะต่อต้านรัฐบาลของครอมเวลล์อย่างมีประสิทธิภาพได้ แม้ว่าจะทรงมีความเกี่ยดองกับเจ้าหญิงแมรีแห่งออเรนจ์และพระนางเฮนเรียตตา มาเรีย พระราชมารดาแต่ทั้งเนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสก็หันมาเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลของครอมเวลล์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1654 ซึ่งทำให้ทรงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากสเปนซึ่งขณะนั้นปกครองเนเธอร์แลนด์ตอนใต้อยู่ พระเจ้าชาลส์ทรงพยายามรวบรวมกองทัพอีกแต่ก็ไม่ทรงประสบความสำเร็จเพราะการขาดทุนทรัพย์

หลังจากครอมเวลล์ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1658 ในระยะแรกก็ดูเหมือนว่าโอกาสในการที่พระเจ้าชาลส์จะได้กลับมาครองราชบัลลังก์อังกฤษก็เหมือนจะไม่มีเพราะริชาร์ด ครอมเวลล์สืบตำแหน่งในฐานะ “เจ้าผู้อารักขา” ต่อจากบิดา แต่ริชาร์ดไม่มีสมรรภาพทั้งทางการปกครองและทางทหารในที่สุดก็ต้องลาออกในปี ค.ศ. 1659 รัฐบาลผู้อารักขาจึงถูกยุบเลิก หลังจากนั้นบ้านเมืองก็เกิดความระส่ำระสาย จนจอร์จ มองค์ ดยุกที่ 1 แห่งอัลเบอมาร์ลข้าหลวงแห่งสกอตแลนด์มีความหวาดกลัวว่าบ้านเมืองจะกลายเป็นอนาธิปไตย มองค์จึงยกทัพลงมานครลอนดอนและบังคับให้รัฐสภารัมพ์เรียกสมาชิกรัฐสภายาวกลับมาทำหน้าที่ตามเดิมยกเว้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1648 ระหว่างการยึดรัฐสภาของไพรด์ ในที่สุดรัฐสภายาวก็ยุบตัวเองหลังจากที่อยู่ในสมัยประชุมมากว่ายี่สิบปีโดยไม่มีการปิดประชุม และเปิดการเลือกตั้งทั่วไป ก่อนที่รัฐบาลจะลาออกก็ได้ออกกฎการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเพื่อพยายามให้ได้เสียงข้างมากเป็นฝ่ายเพรสไบทีเรียน

ถึงจะมีกฎเกี่ยวกับผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ก็ไม่มีผู้สนใจปฏิบัติตามข้อจำกัดที่มาจากฝ่ายนิยมกษัตริย์เท่าใดนัก ผลของการเลือกตั้งของสมาชิกรัฐสภาระหว่างฝ่ายกษัตริย์นิยมและฝ่ายสภานิยมจีงมีจำนวนพอ ๆ กัน และทางศาสนาระหว่างอังกลิคันและเพรสไบทีเรียนก็เช่นกัน สภาใหม่ที่รู้จักกันในชื่อรัฐสภาคอนเวนชันเริ่มสมัยประชุมแรกเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1660 และไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ข่าวการลงพระนามของพระเจ้าชาลส์ในสนธิสัญญาเบรดาที่ในข้อหนึ่งระบุว่าจะพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชบิดา รัฐสภาอังกฤษจึงอนุมัติให้ประกาศพระเจ้าชาลส์เป็นพระมหากษัตริย์และอัญเชิญพระองค์กลับมาจากการลี้ภัย พระองค์ทรงได้รับข่าวนี้ที่เบรดาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ส่วนในไอร์แลนด์ก็มีการเรียกประชุมตอนต้นปีและในวันที่ 14 พฤษภาคม ไอร์แลนด์ก็ประกาศให้พระเจ้าชาลส์เป็นพระมหากษัตริย์ไอร์แลนด์

พระเจ้าชาลส์จึงเสด็จกลับอังกฤษโดยเสด็จขึ้นฝั่งที่โดเวอร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 และเสด็จมาถึงลอนดอนเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งถือเป็นวันแรกของ “การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ” และเป็นวันเดียวกับวันครบรอบวันพระราชสมภพครบ 30 พรรษา แม้ว่าพระเจ้าชาลส์และรัฐสภาจะประกาศให้อภัยโทษแก่ผู้สนับสนุนครอมเวลล์ตามที่ระบุใน “พระราชบัญญัติการให้อภัยโทษแก่ผู้คิดร้ายต่อพระเจ้าชาลส์ที่ 1” (Act of Indemnity and Oblivion) แต่พระราชบัญญัติมิได้ให้อภัยโทษแก่ผู้เป็นปฏิปักษ์ 50 คนที่มีบทบาทในการปลงพระชนม์ ในที่สุด 9 คนในบรรดาผู้มีชื่อในรายนามผู้ปลงพระชนม์พระเจ้าชาลส์ที่ 1 ก็ถูกประหารชีวิต โดยแขวนคอ ควักใส้และผ่าสี่ตามบทการลงโทษฐานกบฏต่อแผ่นดิน ผู้อื่นในรายการถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือถูกปลดจากหน้าที่ราชการตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วก็ถูกขุดร่างขึ้นมาลงโทษซึ่งรวมทั้งร่างของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์, เฮนรี ไอร์ตัน และจอห์น แบรดชอว์ (John Bradshaw)

พระเจ้าชาลส์ทรงยอมยกเลิกระบบเจ้าขุนมูลนายต่าง ๆ ที่ได้รับการนำกลับมาใช้โดยพระราชบิดา เพื่อเป็นการตอบแทนรัฐบาลก็อนุมัติค่าใช้จ่ายให้แก่พระองค์เป็นจำนวน ?1,200,000 ต่อปี ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจากการเก็บภาษีศุลกากรที่เก็บมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาล แต่เงินจำนวนที่ว่านี้ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายของพระองค์จนตลอดรัชสมัย จำนวนเงินดังกล่าวเป็นจำนวนที่ระบุไว้ว่าเป็นจำนวนสูงสุดเท่าที่จะทรงเบิกได้จากรัฐบาล แต่ตามความเป็นจริงแล้วรัฐบาลมีรายได้น้อยกว่าจำนวนที่ระบุมาก ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดการสร้างหนี้อย่างมหาศาลซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลต้องพยายามหากลวิธีต่าง ๆ ในการหารายได้เพิ่มรวมทั้งการเรียกเก็บภาษีท้องถิ่น ภาษีที่ดิน และ ภาษีปล่องไฟเป็นต้น

ในครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 1660 ความสุขของพระเจ้าชาลส์ในการที่ได้กลับมาครองราชบัลลังก์ก็ต้องมาหยุดชะงักลงเมื่อเฮนรี สจวต ดยุกแห่งกลอสเตอร์พระอนุชาองค์สุดท้องและเจ้าหญิงแมรีพระขนิษฐามาสิ้นพระชนม์ไม่นานจากกันนักด้วยฝีดาษ ในขณะเดียวกันแอนน์ ไฮด์บุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีเอ็ดเวิร์ด ไฮด์ก็ประกาศว่ามีครรภ์กับเจ้าชายเจมส์พระอนุชา และทั้งสองได้ทำการแต่งงานกันอย่างลับ ๆ เอ็ดเวิร์ด ไฮด์ผู้ไม่ทราบทั้งเรื่องการแต่งงานและการมีครรภ์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอิร์ลแห่งแคลเรนดัน

รัฐสภาคอนเวนชันถูกยุบเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1661 รัฐสภาที่สองของรัชสมัยก็เริ่มสมัยประชุม รัฐสภานี้เรียกว่า “รัฐสภาคาวาเลียร์” เพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้นิยมกษัตริย์และเป็นอังกลิคัน จุดหมายก็เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความมีอิทธิพลของอังกลิคันโดยผ่านพระราชบัญญัติหลายฉบับ รวมทั้งฉบับสำคัญสี่ฉบับที่ได้แก่:

พระราชบัญญัติการชมรมและพระราชบัญญัติห้าไมล์บังคับใช้ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ พระราชบัญญัติทั้งสี่เรียกรวมกันว่า “ประมวลกฎหมายแคลเรนดัน” ตามชื่อเอ็ดเวิร์ด ไฮด์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอน แม้ว่าแคลเร็นดอนเองจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกพระราชบัญญัติก็ตาม และนอกจากนั้นก็ยังทำการปราศัยต่อต้านพระราชบัญญัติห้าไมล์เองอีกด้วย

ในปี ค.ศ. 1665 พระเจ้าชาลส์ทรงต้องประสบวิกฤติการณ์สองอย่าง: โรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในช่วงที่สูงที่สุดในอาทิตย์ที่ 17 กันยายนเป็นจำนวนถึง 7,000 คน พระเจ้าชาลส์และครอบครัวเสด็จหนีการระบาดของโรคจากลอนดอนไปประทับที่ซอลท์สบรีทางใต้ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคม; ส่วนรัฐสภาย้ายไปตั้งอยู่ที่อ็อกซ์ฟอร์ด ความพยายามต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ของโรคระบาดล้มเหลว โรคก็ยังระบาดอย่างไม่หยุดยั้งต่อไปจนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

นอกไปจากการระบาดของกาฬโรคแล้วลอนดอนก็ยังประสบความเสียหายอย่างหนักจากเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันว่า “เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน” ที่เริ่มเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1666 ซึ่งเป็นการหยุดยั้งการระบาดของกาฬโรคไปในตัว ไฟครั้งนี้ไหม้บ้านเรือนไปทั้งสิ้น 13,200 หลังและคริสต์ศาสนสถานอีก 87 แห่งรวมทั้งมหาวิหารเซนต์พอล พระเจ้าชาลส์และพระอนุชาเจมส์ทรงบริหารและช่วยในการหยุดยั้งเพลิงไหม้ด้วยพระองค์เอง ประชาชนกล่าวหาว่านิกาย[[]]มีส่วนทำให้เกิดเพลิงไหม้ แต่อันที่จริงแล้วสาเหตุที่แท้จริงไฟเริ่มที่ร้านอบขนมปังที่ซอยพุดดิง

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1662 พระเจ้าชาลส์อภิเษกสมรสที่มหาวิหารพอร์ทสมัธกัยเจ้าหญิงแคเธอรินแห่งบราแกนซาจากโปรตุเกส ผู้ที่ทรงมากับสินสมรสที่ประกอบด้วยอาณานิคมบอมเบย์ และ ทานเจียร์ ในปีเดียวกันพระเจ้าชาลส์ก็ทรงขายดังเคิร์คซึ่งขัดกับความนิยมโดยทั่วไปเพราะดังเคิร์คเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ที่จุดยุทธศาตร์สำคัญของอังกฤษบนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป แต่เป็นเมืองที่ต้องทรงเสียค่าบำรุงรักษาสูงที่ต้องทรงจ่ายให้แก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสเป็นจำนวน ?375,000 ต่อปี

เพื่อเป็นการแสดงความขอบใจในการที่ขุนนางบางคนช่วยให้พระองค์ได้ราชบัลลังก์คืนพระเจ้าชาลส์พระราชทานดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือในบริเวณที่ขณะนั้นเรียกว่าแคว้นแคโรไลนา (Province of Carolina) ที่ขนานนามตามพระราชบิดาให้แก่ขุนนางแปดคนที่รู้จักกันในชื่อ “Lords Proprietors” ในปี ค.ศ. 1663

ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เสียผลประโยชน์ทางการค้าเป็นอันมากจากการที่อังกฤษบังคับใช้พระราชบัญญัติการใช้เรือในการค้าขายกับอาณานิคมที่ออกในปี ค.ศ. 1650 ที่จำกัดการใช้ต่างประเทศในการค้าขายกับอาณานิคม ซึ่งทำให้อังกฤษมีเอกสิทธิในการใช้เรือของตนเอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่หนึ่ง ระหว่างปี ค.ศ. 1652 ถึงปี ค.ศ. 1654 ส่วนสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สองระหว่างปี ค.ศ. 1665 ถึงปี ค.ศ. 1667 เริ่มด้วยการที่อังกฤษพยายามขยายอำนาจในดินแดนที่เป็นของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ในทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกาเหนือ ความขัดแย้งเริ่มด้วยดีสำหรับฝ่ายอังกฤษโดยยึดนิวอัมสเตอร์ดัม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์กเพื่อเป็นเกียรติแก่พระอนุชาเจมส์ผู้ทรงมีตำแหน่งเป็น “ดยุกแห่งยอร์ก”) และชัยชนะในยุทธการที่โลว์สตอฟต์แต่ในปี ค.ศ. 1667 ฝ่ายเนเธอร์แลนด์โจมตีอังกฤษในการจู่โจมที่เม็ดเวย์ (Raid on the Medway) โดยที่ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ล่องเรือขึ้นแม่น้ำเทมส์ขึ้นมาตรงจุดที่กองเรืออังกฤษเทียบ เรือเกือบทั้งหมดถูกล่มยกเว้นแต่เรือธง “เรือรบหลวงสมเด็จพระเจ้าชาลส์” ที่ถูกนำกลับไปตั้งแสดงที่เนเธอร์แลนด์ สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สองจบลงด้วยการลงนามในสนธิสัญญาเบรดา) ในปี ค.ศ. 1667

หลังจากแพ้สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สองพระเจ้าชาลส์ก็ทรงใช้เอ็ดเวิร์ด ไฮด์ เอิร์ลแห่งแคลเรนดันเป็นแพะรับบาปโดยทรงปลดจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต แคลเร็นดอนจึงหลบหนีไปฝรั่งเศส อำนาจการเมืองจึงตกไปเป็นของกลุ่มนักการเมืองห้าคนที่เรียกว่า องคมนตรีคาบาลที่ประกอบด้วยทอมัส คลิฟฟอร์ด บารอนคลิฟฟอร์ดที่ 1, เฮนรี เบ็นเน็ท เอิร์ลแห่งอาร์ลิงตันที่ 1, จอร์จ วิลเลียรส์ ดยุกแห่งบัคคิงแฮมที่ 2, แอนโทนี แอชลีย์ คูเปอร์ เอิร์ลแห่งชาฟส์บรีที่ 1 และ จอห์น เมทแลนด์ ดยุกแห่งลอเดอร์เดลที่ 1 องคมนตรีคาบาลมิได้ประสานการทำงานกันอย่างดีเสมอไป ราชสำนักมักจะแบ่งเป็นสองฝ่าย ๆ หนึ่งนำโดยเอิร์ลแห่งอาร์ลิงตันและอีกฝ่ายหนึ่งโดยดยุกแห่งบัคคิงแฮม โดยที่อาร์ลิงตันมีภาษีดีกว่า

ในปี ค.ศ. 1668 อังกฤษไปเป็นพันธมิตรกับสวีเดนและเนเธอร์แลนด์ศัตรูเก่าในการเป็นต่อต้านพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสในสงครามขยายดินแดนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระเจ้าหลุยส์ทรงทำสัญญาสันติภาพกับกลุ่มสามพันธมิตร ใน ค.ศ. 1668 แต่ก็ยังทรงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเนเธอร์แลนด์

ในปี ค.ศ. 1670 พระเจ้าชาลส์ทรงพยายามแก้ปัญหาทางการเงินของพระองค์โดยลงพระนามตกลงในสนธิสัญญาโดเวอร์กับสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ระบุว่าพระเจ้าหลุยส์ต้องจ่ายเงินให้พระองค์เป็นจำนวน ?160,000 ต่อปีเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ทรงส่งกองทหารให้สมเด็จพระเจ้าหลุยส์และการประกาศว่าจะทรงเปลี่ยนไปนับถือโรมันคาทอลิก “ทันทีที่สถานะการณ์ในพระราชอาณาจักรของพระองค์เปิดโอกาสให้ทรงทำ” และสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ทรงตกลงที่จะส่งกองทหารจำนวน 6,000 คนไปกำหราบผู้ขัดแย้งเปลี่ยนศาสนาของพระองค์ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงกำชับให้เก็บสนธิสัญญาเป็นความลับโดยเฉพาะในส่วนที่ทรงตั้งใจที่จะเปลี่ยนไปนับถือโรมันคาทอลิก แต่ก็ไม่เป็นที่ทราบแน่นอนว่าสมเด็จพระเจ้าชาลส์จะทรงตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนนิกายจริงหรือไม่

ขณะเดียวกันพระเจ้าชาลส์พระราชทานลิขสิทธิ์ให้แก่ บริษัทบริติชอีสต์อินเดีย (British East India Company) ในการแสวงหาอาณานิคม, ในการพิมพ์เงิน, ในการรักษาป้อมและกองทหาร, ในการสร้างพันธมิตร, ในการสร้าสงครามและสันติภาพและในการมีอำนาจทางด้านการศาลทั้งทางคดีแพ่งและคดีอาญาในบริเวณการปกครองที่ได้มาในอินเดีย เมื่อต้นปี ค.ศ. 1668 พระเจ้าชาลส์ทรงให้เกาะบอมเบย์เช่าเป็นจำนวนเพียง ?10 ที่จ่ายด้วยทองคำ ดินแดนในการยึดครองของโปรตุเกสในอินเดียที่พระนางแคเธอรินแห่งบราแกนซานำมาเมื่อเสกสมรสก็แพงเกินกว่าที่จะบำรุงรักษาได้ ในที่สุดก็ทรงละทิ้งทานเจียร์

ในปี ค.ศ. 1670 พระเจ้าชาลส์ก็พระราชทานใบอนุญาตในการก่อตั้งบริษัทฮัดสันเบย์ (Hudson's Bay Company) ซึ่งกลายมาเป็นบริษัทที่เก่าที่สุดในประเทศแคนาดา ที่เริ่มด้วยกิจการการค้าขายขนสัตว์ที่ทำเงินได้ดีกับชนพื้นเมือง และในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าของปกครองที่ดินอาณานิคมในบริเวณประมาณ 7,770,000 ตารางกิโลเมตร (3,000,000 ตารางไมล์) ของทวีปอเมริกาเหนือ

แม้ว่าเมื่อเริ่มแรกรัฐสภาจะสนับสนุนพระเจ้าชาลส์แต่นโยบายทางการศาสนาและการสงครามของพระองค์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1670 ทำให้รัฐบาลคาวาเลียร์เกิดความแตกแยกจากพระองค์ ในปี ค.ศ. 1672 พระเจ้าชาลส์ทรงออกพระราชปฏิญญาพระคุณการุญที่หยุดยั้งการลงโทษทางกฎหมายอาญาต่อผู้นับถือโรมันคาทอลิกและผู้เป็นปฏิปักษ์ทางศาสนาทั้งหมด ในปีเดียวกันก็ทรงหันไปสนับสนุนฝรั่งเศสโรมันคาทอลิกอย่างเปิดเผยและทรงเริ่มสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สาม

รัฐบาลคาวาเลียร์มีปฏิกิริยาต่อต้านพระราชปฏิญญาเพราะเป็นการออกพระราชประกาศที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ (โดยอ้างว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีสิทธิในการระงับกฎหมายโดยปราศจากเหตุผล) แทนที่จะขัดกับเหตุผลทางการเมือง สมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงถอนพระราชประกาศและทรงยอมตกลงใน พระราชบัญญัติทดสอบ (Test Act) ซึ่งไม่แต่จะเรียกร้องให้ผู้รับราชการต้องรับยูคาริสต์ตามแบบที่คริสตจักรแห่งอังกฤษระบุ แต่ยังบังคับให้ประณามคำสอนบางอย่างของนิกายโรมันคาทอลิกว่าเป็น “ความเชื่องมงายและการบูชารูปเคารพ” บารอนคลิฟฟอร์ดผู้เปลี่ยนไปนับถือโรมันคาทอลิกลาออกแทนที่จะยอมปฏิญาณตามกฎที่ออกใหม่ไม่นานก่อนที่จะถึงแก่อสัญกรรม ภายในปี ค.ศ. 1674 อังกฤษก็ไม่มีความคืบหน้าในสงครามกับเนเธอร์แลนด์ ทางฝ่ายรัฐบาลคาวาเลียร์ไม่ยอมออกทุนทำสงครามต่อ ซึ่งเป็นการบังคับให้พระเจ้าชาลส์หาวิธีสงบศึก อำนาจขององคมนตรีคาบาลก็เริ่มลดน้อยลงในขณะเดียวกันอำนาจของทอมัส ออสบอร์น ดยุกแห่งลีดส์ที่ 1 หรือลอร์ดแดนบีย์ ผู้ที่มาแทนบารอนคลิฟฟอร์ดก็เพิ่มมากขึ้น

ในด้านส่วนพระองค์พระนางแคเธอรินแห่งบราแกนซาไม่ทรงสามารถมีพระราชโอรสธิดาได้ ทรงตั้งครรภ์สี่ครั้งแต่ก็จบลงด้วยการแท้งหรือสิ้นพระชนม์ในพระครรภ์ในปี ค.ศ. 1662, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1666, พฤษภาคม ค.ศ. 1668 และมิถุนายน ค.ศ. 1669 “รัชทายาทโดยสันนิษฐาน” จึงเป็นเจมส์ ดยุกแห่งยอร์กพระอนุชาผู้ที่เป็นโรมันคาทอลิกผู้ที่ไม่ทรงเป็นที่นิยมแก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความระแวงของประชาชนว่าราชสำนักเอียงไปทางโรมันคาทอลิกมากเกินไปสมเด็จพระเจ้าชาลส์จึงทรงจัดการเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงแมรีพระธิดาองค์โตของดยุกแห่งยอร์กกับเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ผู้เป็นโปรเตสแตนต์

ในปี ค.ศ. 1678, ไททัส โอตส์ผู้เคยเป็นทั้งอังกลิคันและอดีตนักบวชคณะเยสุอิตสร้างข่าวลือเรื่อง “การลอบวางแผนโพพิช” ที่เป็นข่าวลือที่กล่าวว่าเป็นแผนการที่จะปลงพระชนม์พระเจ้าชาลส์ และกล่าวพาดพิงว่าพระราชินีแคทเธอรีนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนนี้ แต่พระเจ้าชาลส์ไม่ทรงเชื่อข่าวลือและมีพระราชโองการให้ลอร์ดแดนบีย์สืบสวน แม้ว่าลอร์ดแดนบีย์จะมีความสงสัยว่าจะเป็นเพียงข่าวลือแต่รัฐบาลคาวาเลียร์ถือว่าเป็นเรื่องจริงจัง ข่าวลือทำให้ประชาชนตกอยู่ในความรู้สึกต่อต้านผู้นับถือโรมันคาทอลิกอย่างรุนแรง และมีการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการคบคิดกันกันทั่วประเทศ บ้างก็ถูกลงโทษบ้างก็ถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด

ต่อมาในปี ค.ศ. 1678 ลอร์ดแดนบีย์ก็ถูกปลดจากตำแหน่งโดยสภาสามัญชนในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน แม้ว่าทั้งประเทศจะต้องการทำสงครามกับฝรั่งเศสพระเจ้าชาลส์ทรงเจรจาต่อรองอย่างลับ ๆ กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อตกลงว่าอังกฤษจะทำตัวเป็นกลางเป็นการแลกเปลี่ยนกับเงินทดแทน ลอร์ดแดนบีย์ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูกับฝรั่งเศสแต่ในทางส่วนตัวก็ตกลงทำตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าชาลส์ แต่สภาสามัญชนไม่เชื่อว่าข่าวลือที่ว่าลอร์ดแดนบีย์มีส่วนร่วมโดยไม่เต็มใจและแต่เป็นผู้เขียนนโยบายด้วยตนเอง สมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงยุบสภาคาวาเลียร์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1679 เพื่อช่วยลอร์ดแดนบีย์

รัฐสภาใหม่เริ่มประชุมในเดือนมีนาคมปีเดียวกันเป็นรัฐบาลที่ไม่เป็นปรปักษ์ต่อสมเด็จพระเจ้าชาลส์ เมื่อไม่รับการสนับสนุนจากรัฐสภาลอร์ดแดนบีย์ก็ลาออกจากตำแหน่งเจ้ากรมพระคลัง (Lord High Treasurer) แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระเจ้าชาลส์ แต่รัฐสภาไม่ยอมและประกาศว่าการยุบสภามิได้ระงับการไต่สวนของลอร์ดแดนบีย์ฉะนั้นการพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นโมฆะ เมื่อสภาขุนนางพยายามลงโทษลอร์ดแดนบีย์โดยเนรเทศ—ซึ่งสภาสามัญชนถือว่าน้อยไป—การไต่สวนจึงหยุดชะงักลงเพราะสองสภาตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดพระเจ้าชาลส์ก็ทรงยอมฝ่ายตรงข้ามโดยทรงสั่งจำขังลอร์ดแดนบีย์ที่หอคอยแห่งลอนดอน ลอร์ดแดนบีจึงถูกจำขังอยู่ห้าปี

ปัญหาใหญ่ทางการเมืองต่อมาของพระเจ้าชาลส์คือปัญหาเรื่องรัชทายาท แอนโทนี แอชลีย์ คูเปอร์ เอิร์ลแห่งชาฟส์บรีเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงมีพระมหากษัตริย์เป็นโรมันคาทอลิก (ก่อนหน้านั้นบารอนแอชลีย์เป็นสมาชิกองคมนตรีคาบาล ที่สลายตัวลงในปี ค.ศ. 1673) อำนาจของบารอนแอชลีย์ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเมื่อสภาสามัญชนของปี ค.ศ. 1679 เสนอร่างพระราชบัญญัติการยกเว้นผู้สืบราชบัลลังก์ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติที่พยายามป้องกันไม่ให้เจมส์ ดยุกแห่งยอร์กขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษ บางกลุ่มถึงกับสนับสนุนเจมส์ สกอตต์ ดยุกที่ 1 แห่งมอนมัธ พระราชโอรสองค์โตนอกสมรสของพระเจ้าชาลส์ผู้เป็นโปรเตสแตนต์ กลุ่ม “Abhorrers”—ผู้ที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติละเว้นเป็นที่น่าเกลียด (abhorrent) —ถูกเรียกว่าทอรี (ตามคำที่ใช้เรียกโจรไอริชโรมันคาทอลิก) ขณะที่ “Petitioners”—ผู้ยื่นคำร้อง (Petitioning campaign) สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติ—กลายมาเป็นวิก (ตามคำที่ใช้เรียกผู้ก่อความไม่สงบชาวสกอตแลนด์ที่เป็นเพรสไบทีเรียน)

พระเจ้าชาลส์ทรงหวาดกลัวว่าร่างพระราชบัญญัติการยกเว้นผู้สืบราชบัลลังก์จะได้รับการอนุมัติและเมื่อทรงเห็นว่ามติมหาชนเริ่มเอนเอียงไปทางการต่อต้านโรมันคาทอลิกซึ่งเห็นได้จากการปล่อยตัวของผู้ที่กล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการคบคิดที่จะปลงพระชนม์พระองค์ พระเจ้าชาลส์จึงทรงตัดสินพระทัยยุบรัฐสภาเป็นครั้งที่สองในปีเดียวกันในฤดูร้อนของ ค.ศ. 1679 พระเจ้าชาลส์ทรงหวังว่าสภาใหม่จะไม่รุนแรงเหมือนสภาก่อนแต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ ภายในเวลาเพียงสองสามเดือนพระองค์ก็ทรงยุบรัฐสภาอีกครั้งหลังจากที่รัฐสภาพยายามผ่านร่างพระราชบัญญัติละเว้นอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาใหม่ประชุมกันที่อ็อกฟอร์ดในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1681 พระเจ้าชาลส์ก็ทรงยุบอีกเป็นครั้งที่สี่หลังจากที่ประชุมกันได้เพียงไม่กี่วัน ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1680 มติมหาชนในการสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติก็ลดน้อยลงและพระเจ้าชาลส์ทรงมีความรู้สึกว่าประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์เพิ่มมากขึ้นเพราะมีความเห็นว่ารัฐสภามีความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เอิร์ลแห่งชาฟส์บรีถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏจนต้องหนีไปเนเธอร์แลนด์และไปเสียชีวิตที่นั่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระเจ้าชาลส์ก็ทรงปกครองอังกฤษโดยปราศจากรัฐสภา

การคัดค้านร่างพระราชบัญญัติการยกเว้นผู้สืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าชาลส์สร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายโปรเตสแตนต์บางส่วน ผู้ก่อการโปรเตสแตนต์วางแผน “การคบคิดรายเฮาส์” ซึ่งเป็นแผนการปลงพระชนม์พระเจ้าชาลส์และเจมส์ ดยุกแห่งยอร์ก ขณะที่เสด็จกลับลอนดอนจากการแข่งม้าที่นิวมาร์เกต แต่ทรงรอดพ้นจากการถูกปลงพระชนม์ เนื่องจากเพลิงไหม้ทำลายที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่นิวมาร์เค็ตทำให้ต้องเสด็จกลับลอนดอนก่อนกำหนด ข่าวแผนการปลงพระชนม์ที่ไม่สำเร็จจึงรั่วไหล นักการเมืองโปรเตสแตนต์เช่น อาร์เธอร์ คาเพลล์ เอิร์ลแห่งเอสเซ็กส์ อาลเกอร์นอน ซิดนีย์, ลอร์ดวิลเลียม รัสเซลล์ และดยุกแห่งมอนมัธถูกจับในข้อหาว่ามีส่วนร่วมในการวางแผน เอิร์ลแห่งเอสเซ็กส์ฆ่าตัวตายขณะที่ถูกจำขังอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอน ซิดนีย์และลอร์ดวิลเลียม รัสเซลล์ถูกประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินโดยมีหลักฐานเพียงเล็กน้อย ส่วนดยุกแห่งมอนม็อธลี้ภัยไปยังราชสำนักของดยุกแห่งออเรนจ์ ลอร์ดแดนบีและขุนนางโรมันคาทอลิกที่ถูกจำขังอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนถูกปล่อยและดยุกแห่งยอร์กก็มีอำนาจมากขึ้นในราชสำนักไททัส โอตส์ถูกตัดสินว่าผิดตามข้อกล่าวหาและจำขังในข้อหาสร้างข่าวลือเท็จ

พระเจ้าชาลส์ประชวรด้วยอาการชักเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อเช้าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 และเสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 11:45 น. หลังจากนั้นที่ประชวรได้สี่วันที่พระราชวังไวต์ฮอลล์ เมื่อพระชนมายุได้ 54 พรรษา อาการประชวรคล้ายคลึงกับอาการของ ยูรีเมีย (uraemia) ซึ่งเป็นอาการที่เกี่ยวกับไตทำงานอย่างไม่ปกติ ขณะที่ประชวร พระเจ้าชาลส์ตรัสกับดยุกแห่งยอร์กว่า “จะต้องมิให้เนล เกล็นผู้น่าสงสารได้รับความลำบากเป็นอันขาด” และกับข้าราชสำนักว่า “ข้าพเจ้าขออภัย ท่านสุภาพบุรุษ ที่เป็นผู้กำลังจะตายในเวลานี้” ค่ำวันสุดท้ายก็ทรงได้รับเข้าสู่โรมันคาทอลิก แต่ก็ไม่ทราบว่ามีพระสติดีพอที่จะทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวหรือทรงรับรู้เท่าใดหรือผู้ใดเป็นผู้จัดการการกระทำครั้งนี้ พระบรมศพถูกฝังไว้ที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์ “โดยไม่มีพิธีรีตองอันหรูหรา” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ดยุกแห่งยอร์กพระอนุชาขึ้นครองราชย์ต่อมาเป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษและไอร์แลนด์ และพระเจ้าเจมส์ที่ 7 แห่งสกอตแลนด์

พระเจ้าชาลส์ไม่มีพระราชโอรสธิดาในสมรส แต่มีพระราชโอรสธิดาสิบสองคนกับพระสนมเจ็ดคน5 คนโดยบาร์บารา พาล์มเมอร์ ดัชเชสแห่งคลีฟแลนด์ที่ 1 (Barbara Palmer, 1st Duchess of Cleveland) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของตำแหน่งดยุกแห่งคลีฟแลนด์ พระสนมคนอื่น ๆ ก็ได้แก่ แคทเธอริน เพ็กก์ (Catherine Pegge), ลุย เดอ เคอรูเยลล์ ดัชเชสแห่งพอร์ธมัธ (Louise de K?rouaille, Duchess of Portsmouth), ลูซิ วอลเตอร์ (Lucy Walter), เอลิซาเบธ คิลลิกรูว์ (Elizabeth Killigrew) และ เนลล์ กวิน (Nell Gwyn) โอรสและธิดาหลายคนได้รับตำแหน่งดยุกหรือเอิร์ล; ตำแหน่งดยุกแห่งบุกลอยช์ (Duke of Buccleuch), ดยุกแห่งริชมอนด์ (Duke of Richmond), ดยุกแห่งกราฟตัน (Duke of Grafton) และ ดยุกแห่งเซนต์อัลบันส์ (Duke of St Albans) ในปัจจุบันต่างก็เป็นตำแหน่งที่สืบทอดมาจากพระเจ้าชาลส์โดยตรงทางพระโอรส สาธารณชนไม่พึงพอใจในการที่สมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงใช้เงินภาษีในการจ่ายเบี้ยเลี้ยงแก่บรรดาพระสนมและโอรสธิดาต่าง ๆ จอห์น วิลม็อต เอิร์ลแห่งโรเชสเตอร์ (John Wilmot, Earl of Rochester) เขียนจดหมายถึงพระเจ้าชาลส์:

ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์เองก็ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระโอรสนอกกฎหมายของพระเจ้าชาลส์สองพระองค์ เฮนรี ฟิทซ์รอย ดยุกที่ 1 แห่งกราฟตัน (Henry FitzRoy, 1st Duke of Grafton) และ ชาลส์ เล็นน็อกซ์ ดยุกแห่งริชมอนด์ที่ 1 (Charles Lennox, 1st Duke of Richmond) ผู้เป็นบรรพบุรุษของคามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์พระชายาองค์ที่สองของ เจ้าฟ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์) ฉะนั้นพระโอรสองค์โตของเจ้าหญิงไดอานา เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ผู้ทรงอยู่ในอันดับที่สองของลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ถ้าได้เป็นกษัตริย์ก็ได้เป็นก็จะเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2

เจมส์ สกอตต์ ดยุกแห่งมอนม็อธที่ 1 พระโอรสองค์โตของพระเจ้าชาลส์เป็นผู้นำในการกบฏต่อพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แต่ไม่สำเร็จและพ่ายแพ้และถูกจับที่ยุทธการเซ็จมัวร์ (Battle of Sedgemoor) เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1685 ในที่สุดก็ถูกประหารชีวิต แต่ต่อมาพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เองก็ทรงถูกโค่นราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1688 ในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์โดยพระราชธิดาของพระองค์และพระสวามี สมเด็จพระเจ้าเจมส์ทรงเป็นกษัตริย์โรมันคาทอลิกองค์สุดท้ายของอังกฤษ

เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระเจ้าชาลส์ พรรคทอรีมักจะเห็นว่าเป็นรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณธรรมแต่พรรควิกเห็นว่าเป็นรัชสมัยของการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดในทางที่ผิด ในปัจจุบันการเป็นการยากที่จะสรุปโดยไม่คำนึงถึงความไม่เป็นกลางของพระองค์ และมักเห็นกันว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ชอบความสุขสำราญ เช่นที่บรรยายโดยจอห์น เอเวลิน (John Evelyn) ว่า: “a prince of many virtues and many great imperfections, debonair, easy of access, not bloody or cruel”—และทรงเป็นผู้ที่ศิลปินนิยมนำไปเป็นตัวละครในงานเขียนและภาพยนตร์ทรงมีวรรณกรรม

พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นผู้ช่วนในการก่อตั้งราชสมาคม (Royal Society) ซึ่งเป็นสมาคมของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีสมาชิกที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่นโรเบิร์ต ฮุค, โรเบิร์ต บอยล์ และ ไอแซ็ค นิวตัน และทรงก่อตั้ง Royal Observatory ที่กรีนิช พระเจ้าชาลส์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์คริสโตเฟอร์ เร็น สถาปนิกผู้ช่วยสร้างลอนดอนหลังจากเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1666 เร็นสร้างโรงพยาบาลเชลเซียซึ่งสมเด็จพระเจ้าชาลส์ทรงก่อสร้างเพื่อให้เป็นบ้านพักทหารที่ปลดเกษียณในปี ค.ศ. 1682 นอกจากนั้นก็ทรงเป็นคนแรกที่อนุญาตให้สตรีแสดงละครบนเวทีได้แทนที่จะไห้เด็กผู้ชายเล่นเป็นผู้หญิงอย่างที่เคยทำกันมา

วันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งเป็นครบรอบวัน “ฟื้นฟูกษัตริย์” ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันประสูติก็เป็นวันที่ฉลองกันมาจนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในชื่อวัน “Oak Apple Day” ตามตำนานต้นไม้ที่พระองค์ทรงใช้ซ่อนตัวขณะที่หลบหนีจากกองทหารของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ แต่ในปัจจุบันเลิกฉลองกันไปแล้ว

โซโฮแควร์ในลอนดอนที่สร้างในปลายคริสต์ทศวรรษ 1670 เดิมเรียกว่า “คิงสแควร์” เพื่อเป็นเกียรติแก่พระองค์และอนุสาวรีย์ของพระองค์ที่สร้างในปี ค.ศ. 1681 ก็ยังตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัส

* เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กด้วย • ? เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ด้วย • ? เป็นพระมหากษัตริย์ไอร์แลนด์ด้วย •  เป็นพระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ด้วย •  เป็นสตัดเฮาเดอร์ด้วย

อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน หรือไม่มีการปิด </ref>


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301